ตร.ปส.สกัดจับอดีต ตร.นอกรีดลักลอบลำเลียงยาเสพติดพร้อมของกลางยาบ้า 1.2 ล้านเม็ดกัญชา 1,100 กิโลกรัม
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 15 พ.ค.60 กองบังคับการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด(สกส.บช.ปส.) พล.ต.ต.ทนัย อภิชาติเสนีย์ ผบก.สกส.บช.ปส.พ.ต.อ.นพดล นิลมานนท์ รอง ผบก.สกส.บช.ปส.พ.ต.อ.อนุรักษ์ ชาติสุวรรณ พ.ต.อ.หญิง เพชราภรณ์ มงพลเมือง รองผบก.สกส.บช.ปส.พ.ต.อ.นพดล กาญจนารมย์ ผกก.1บก.สกส.บช.ปส.พ.ต.อ.บุญส่ง สนธยานานนท์ ผกก.2 บก.สกส.บช.ปส.พ.ต.อ.ดอย วงค์พุ่ม ผกก.3 บก.สกส.บช.ปส.พ.ต.อ.เสวี ยะสวัสดิ์ ผกก.1บก.สกส.บช.ปส. ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหาจำนวน 4 คน นาย ประหยัด โพธิ์หล้าอายุ 42 ปีอยู่บ้านเลขที่ 32 ม.17 ต.จุมพล อ.โพนพิสัย จว.หนองคาย นาย มงคล ภูมิพัฒน์ อายุ 51 ปีอยู่บ้านเลขที่ 159/108 ม.16 ต.ในเมือง จว.ขอนแก่น นาย สมบัติ โพธิ์หล้าอายุ 54 ปีอยู่บ้านเลขที่ 165 ม.1 ต.โคกปรง อ.วิเชียรบุรี จว.เพชรบูรณ์ นาย จักรี ประเสริฐวงษา อายุ 32 ปีอยู่บ้านเลขที่ 123 ม.2 ต.ท่ามะไฟหวาน อ.แก้งคร้อ จว.ชัยภูมิ พร้อมด้วยของกลางยาบ้าจำนวน 600 มัดรวมประมาณ 1,200,000 เม็ด(หนึ่งล้านสองแสนเม็ด)กัญชาอัดแท่งจำนวน 1,100 แท่งน้ำหนักรวมประมาณ 1,100 กิโลกรัม.รถยนต์กระบะยี่ห้อ ซูซูกิ สีขาว หมายเลขทะเบียน ผฉ-6906 อุดรธานี รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ เชฟโรเลต สีดำ หมายเลขทะเบียน กย-1994 อุดรธานี โทรศัพท์มือถือจำนวน 7 เครื่อง
พล.ต.ต.ทนัย กล่าวว่าทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้รับแจ้งข้อมูลจากสายลับว่ามีกลุ่มผู้ลำเลียงยาเสพติดรายใหญ่ซึ่งเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจรับจ้างจากนายทุนชาวลาวลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ สปป.ลาวเข้ามาส่งจำหน่ายให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคใต้อย่างต่อเนื่องโดยจะใช้รถยนต์กระบะยี่ห้อ ซูซูกิ สีขาว หมายเลขทะเบียน ผฉ-6906 อุดรธานี(บรรทุกของ)และรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ เชฟโรเลต สีดำ หมายเลขทะเบียน กย-1994 อุดรธานี(รถนำ) จากจว.หนองคายแล้วลำเลียงไปส่งมอบให้กับลูกค้าของผู้ว่าจ้างในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งทางเจ้าหน้าชุดสืบสวนได้ดำเนินการสืบสวนติดตามพฤติการณ์ตามข้อมูลที่ได้รับแจ้งจากสายลับ
ต่อมาเมื่อวันที่ 13 พ.ค.60 เวลาประมาณ 17.30 น.เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนที่เฝ้าติดตามพบรถยนต์กระบะยี่ห้อ ซูซูกิ สีขาว หมายเลขทะเบียน ผฉ-6906 อุดรธานีและรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ เชฟโรเลต สีดำ หมายเลขทะเบียน กย-1994 อุดรธานี จากจว.หนองคาย ตรงตามที่สายลับแจ้งข้อมูลไว้ขับมาตามเส้นทางถนนสายเพชรเกษมขาล่องใต้ ม.3 ต.ห้วยยาง อ.ทับสะแก จว.ประจวบคีรีขันธ์จึงแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอตรวจค้นจับกุมแต่คนร้ายเกิดไหวตัวพยามขับรถหนีการจับกุมจนเกิดอุบัติเหตุรถตกไหล่ข้างเจ้าหน้าที่จึงควบตัวนาย ประหยัดและนาย มงคล ไว้ได้
จากการตรวจค้นพบของกลางยาบ้าจำนวน 600 มัดรวมประมาณ 1,200,000 เม็ด(หนึ่งล้านสองแสนเม็ด)กัญชาอัดแท่งจำนวน 1,100 แท่งน้ำหนักรวมประมาณ 1,100 กิโลกรัม.ซุกซ่อนอยู่ภายในตู้บรรทุกดังกล่าว
พล.ต.ต.ทนัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลตรวจสอบประวัติของนาย ประหยัด โพธิ์หล้าหรือ จ.ส.ต.ประหยัด โพธิ์หล้า อายุ 42 ปี อดีตรับข้าราชการตำรวจที่ สภ.โพนพิสัย เคยมีประวัติถูกจับกุมในข้อหา “ลักลอบขนย้ายตัวนิ่ม”จำนวน 156 ตัวซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองเมื่อ ปี 2552 ที่จังหวัดเพชรบุรี โดยใช้รถตู้ตำรวจในการขนย้ายตัวนิ่มแล้วจึงถูกจับได้ และถูกออกจากราชการจึงผันตัวเองมาเป็นผู้ค้ายาเสพติดโดยรับส่งกัญชาอัดแท่งลงในพื้นที่ต่างจังหวัดและเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.54 5 ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติด สภ.เมืองสตูลจับกุม จ.ส.ต.ประหยัด โพธิ์หล้าพร้อมของกลางกัญชาอัดแท่ง จำนวน 250 กิโลกรัมที่บริเวณปั๊มบ้านควน ม.4 ต.บ้านควน จ.สตูล ส่วน นาย มงคล ภูมิพัฒน์ หรือ จ.ส.ต.มงคล ภูมิพัฒน์ อดีตรับข้าราชการตำรวจที่ สภ.อุบลรัตน์ เคยมีประวัติถูกจับกุมในข้อหา“ลักลอบขนย้ายตัวนิ่ม”จำนวน 156 ตัวซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองเมื่อปี 2552 ที่จังหวัดเพชรบุรี โดยใช้รถตู้ตำรวจในการขนย้ายตัวนิ่มแล้วจึงถูกจับได้และถูกออกจากราชการ เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.54 ทล.4 กองกำกับ 2 บก.ทล.(ชุมพร) ได้รับแจ้งจากสายข่าวว่าจะมีขบวนการขนยาเสพติดผ่านเข้ามาในพื้นที่รับผิดชอบ จึงสั่งการให้นำกำลังไปตั้งด่านตรวจสกัดบริเวณถนนสายเอเชีย 41 ขาล่องใต้ระหว่างหลัก กม.18-19 ต.วิสัยเหนือ อ.เมือง จว.ชุมพรจับกุมพร้อมกัญชาอัดแท่ง รวม 399 แท่งน้ำหนัก 399 กิโลกรัม
หลังจากทั้ง 2 คนถูกไล่ออกจากราชการแล้วจึงผันตัวเองมารับจ้างลำเลียงยาเสพติดยาบ้าและกัญชาอัดแท่งให้นายทุนรายหนึ่งจากฝั่งลาวซึ่งเป็นเอเย่นต์รายใหญ่ในพื้นที่ภาคอีสานสั่งให้ไปส่งให้กับลูกค้าใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยคิดเป็นเที่ยวละ 300,000 – 500,000 บาทไปส่งมอบให้กับลูกค้าเพื่อที่จะลำเลียงส่งต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านต่อไป
โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า)ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต”
จากนั้นได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส.ดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป