คำถาม จากคน เทพา ถึง สิทธิ์ความเสมอภาค และเท่าเทียม ในความเห็นเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน
กว่า 3 ปี ที่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ( กฟผ ) ดำเนินการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ ต.ปากบาง อ.เทพา จ.สงขลา ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงฟ้าถ่านหิน และ ใน ตำบลอื่นๆ ทั้งในพื้นที่ อ.เทพา ถึงคารงการของโรงไฟฟ้าถ่านหิน และที่สำคัญมีการเปิดเวที รับฟังความคิดเห็นของคนในพื้นที่ ทั้ง ค.1 ค 2 และ ค.3 เป็นที่เรียบร้อย เหลือเพียงในส่วนของ ท่าเทียบเรือ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งหากนำการทำงานของ กฟผ.มาเทียบกับการ วิ่ง 100 เมตร ก็เท่ากับว่า โครงการ โรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา กฟผ.วิ่งมาแล้ว 800 เมตร เหลือเพียง 200 เมตร ก็จะถึง จุดหมาย หรือ”เส้นชัย”
โครงการโรรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ก็เช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ ในประเทศไทย ไม่ว่าเป็น การ”สร้างเขื่อน” การสร้าง พลังงานอื่นๆ เช่น โรงไฟฟ้าชีวะมวล โรงไฟฟ้าขยะ โรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย และ โรงไฟฟ้าจะนะ ที่ทุกโครงการ ก็ถูกต่อต้านโดย กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน หรือ”เอ็นจีโอ” ทั้งในพื้นที่ และ นอกพื้นที่ โดยมีคนในพื้นที่ จำนวน”หนึ่งหยิบมือ” ร่วมอยู่ในขบวนการของ”ผู้เห็นต่าง” เคลื่อนไหวทำกิจกรรมทางสังคม เพื่อ”ต่อต้าน” โครงการเหล่านี้
โครงการ โรงไฟฟ้าถ่านหิน ที่ อ.เทพา จ.สงขลา ก็ถูกต่อต้าน โดย เอ็นจีโอ หน้าเดิมๆ ที่เคยต่อต้านทุกโครงการใน จ.สงขลามาแล้ว โดยมีชาวบ้าน ทั้งในพื้นที่ อ.เทพา อ.จะนะ และ พื้นที่อื่นๆ ไม่เกิน 200 คน ดำเนินการต่อต้านมาโดยตลอด และสิ่งที่น่าสังเกตคือ กลุ่มผู้ต่อต้านหรือ”เห็นต่าง” ปฏิเสธที่จะเข้าร่วม เวที รับฟังความคิดเห็นในทุกเวที โดยจะแยกไปจัดเวทีของตนเอง และหลังจากนั้น ก็จะนำมาเป็น”ข้ออ้าง” ว่าการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น ที่จัดขึ้น ไม่”ชอบธรรม”เพราะกลุ่มผู้”คัดค้าน”ไม่ได้เข้าร่วม แสดงความคิดเห็น
ซึ่งเห็นได้ชัดเจนที่สุด จากการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น”รอบใหม่” ของโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ที่กลุ่มผู้”เห็นต่าง” ประกาศไม่เข้าร่วมเวที และไปจัด”กิจกรรม”ของตนเอง และ ประกาศว่า การทำเวทีรับฟังความคิดเห็น ใช้ไม่ได้ เพราะฝ่ายที่”เห็นต่าง” ไม่ได้ไปแสดงความคิดเห็น
ดังนั้น ถ้า รัฐบาล หรือ คสช. หรือ ผู้มีอำนาจในประเทศนี้ ยังต้องการให้ผู้รับผิดชอบ โรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งที่ เทพา และที่ กระบี่ ดำเนินการ รับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน โดยต้องการให้กลุ่มผู้ที่”เห็นต่าง” หรือ”คัดค้าน” เข้าร่วมเวทีด้วย จึงจะถือว่าเป็นการรับฟังความคิดเห็นที่”สมบูรณ์” ก็เชื่อแน่ว่า ต้องมีการทำเวทีกับ”ทั้งชาติ” ก็ไม่สำเร็จ เพราะวิธีการของ เอ็นจีโอ ที่นำมาเป็น”กลยุทธ์” ในการคัดค้านคือการ ไม่เข้าร่วมเวที และนำเอามาเป็นข้ออ้างว่า เป็นเวทีที่รับฟังคนฝ่ายเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ เห็นด้วย กับเจ้าของโครงการ
เมื่อเร็วๆนี้ ประชาชนจาก อ.เทพา จำนวนนับพันคน ได้รวมตัวกันทำกิจกรรม สนับสนุนให้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน และก่อนหน้านี้ประชาชน ที่ต้องการให้มีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ก็ได้เข้ายื่นจดหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งเดินทางมาประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.สงขลา
ต่อมา กลุ่มผู้คัดค้าน จำนวนไม่เกิน 20 คน ได้ยื่นหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกัน ให้ “ยุติ”การก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน โดยอ้างความไม่ชอบธรรม ต่างๆนาๆ ตั้งแต่การทำ ค 1 ที่ไม่มีฝ่ายค้าเข้าร่วมเวที
และ นายกรัฐมนตรี ก็ได้การคำสั่งให้ “ชะลอ” การเดินหน้าของ โรงงานไฟฟ้าถ่านหินเทพาในทันที โดยให้ รมต.พลังงาน ตรวจสอบรายละเอียดของโครงการ ผลกระทบของพลังงานของภาคใต้ในอนาคต ถ้าไม่มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา
ต่อมา เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ชาวบ้านใน อ.เทพา จำนวนมาก ก็ออกมาเคลื่อนไหว เพื่อสนับสนุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าอีกครั้ง รวมทั้งทวงถามความชอบธรรมจาก ผู้บริหารประเทศ ที่รับฟังแสดงเสียงของกลุ่มผู้”เห็นต่าง”โดยไม่เคารพ สิทธิ ของ ผู้ที่ “เห็นด้วย” ซึ่งเป็นเสียงของคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ โดยกลุ่มผู้ที่ต้องการการเกิดขึ้นของ โรงไฟฟ้าเทพา เตรียมจะใช้วิธีเดียวกันของกลุ่มผู้”เห็นต่าง” ด้วยการ เดินทางเข้าพบกับ ผู้บริหารประเทศ เพื่อแสดง”จุดยืน” เช่นเดียวกัน
สิ่งที่เกิดขึ้น คือ วันนี้ โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา มีผู้สนับสนุนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ในขณะที่มีผู้”คัดค้าน”เพียง”หยิบมือ” คำถามที่เกิดขึ้นคือ ถ้าผู้นำประเทศให้ความสำคัญกับเสียงของผู้”เห็นต่าง” และ เสียงของผู้สนับสนุน ไม่มีความสำคัญอย่างนั้นหรือ ประเด็นนี้คือประเด็นของ”สิทธิ”ของคน 2 ฝ่าย ที่ถูกมองว่า ไม่”เท่าเทียม” ที่ผู้บริหารประเทศต้องมีคำตอบให้ชัดเจน
ประเด็น ที่เกิดขึ้นกับ การตัดสินใจที่จะสร้างหรือไม่สร้าง โรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา เวเลนี้จึงไม่ใช่ประเด็นในเรื่อง ถ่านหินดี หรือไม่ดี แต่เป็นเรื่องของการทวง “สิทธิ์” ของความ”เท่าเทียม” ของกลุ่มคนที่”เห็นต่าง”กับกลุ่มคนที่”เห็นด้วย” ซึ่งหาก รัฐบาล หรือ คสช. บริหารจัดการ ในเรื่องดังกล่าวด้วยความไม่เป็นธรรม ก็เท่ากับ รัฐบาลเอง คือผู้ที่ สร้างความ”ไม่ชอบธรรม” ให้เกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลถึง ปัญหาอีกมากมาย ที่จะติดตามมา ในอนาคต
3 ปี ที่ผ่านมา เรื่องของ”ข้อมูล” ผลกระทบ และ ประโยชน์ ที่จะได้จาก โรงไฟฟ้าถ่านหิน มากเพียงพอ และหาข้อ”ยุติ” ได้แล้ว ปัญหา อุปสรรค ที่เกิดขึ้น จึงย่อมมาจากประเด็นปัญหาอื่น นั้นคือเรื่อง”การเมือง” และ”ผลประโยชน์” ของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่ต้องการเข้ามา”ตักตวง” กำไร จากการจัดการเรื่อง”พลังงาน” จนทำให้ รัฐบาลเกิดความ”ไขว้เขว” และ”เกรงใจ” รวมทั้ง”หวั่นไหว” ในเรื่องของ ผลประโยชน์ จนไม่กล้าที่จะใช้”อำนาจ” เพื่อสร้างความชอบธรรม และเพื่อสร้างอนาคตของ”พลังงาน” ของประเทศ
คนเทพา ถามว่า ถ้ามีอำนาจเต็ม 2 มือ แต่ไม่กล้าที่จะใช้”อำนาจ” สร้างคุณประโยชน์ให้กับแผ่นดิน อำนาจที่มีอยู่ก็เป็นของ”ไร้ค่า” เพราะไม่เกิดประโยชน์ใดประประเทศแม้แต่น้อย
นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ หาดใหญ่/ส่งขลา