วันที่ 11 เมษายน 2561 เวลา 01.00 น. ( คืนวันพุธต่อเนื่องวันพฤหัสบดี )ตํารวจท่องเที่ยวจับกุมแก๊ง ผู้ต้องหาชาวอินเดีย ลักลอบใช้ข้อมูลบัตรเครดิตจํานวน 2 นาย
ปัจจุบันกระแสของเทคโนโลยี ได้เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นอย่างมาก รวมไปถึงธุรกรรมการเงินการธนาคารด้วยเช่นกัน ปัจจุบันธนาคารได้ให้บริการรูปแบบใหม่ อย่างเช่น Internet Banking ,Mobile Application และประกอบความนิยมที่จะใช้บัตรเครดิตการ์ด ในการซื้อขายของ หรือชำระค่าบริการต่างๆ แทนการใช้เงินสด ซึ่งส่งผลให้กลุ่มมิจฉาชีพ ได้ปรับรูปแบบการกระทำความผิด ในลักษณะบัตรเครดิตการ์ด หรือธนาคารออนไลน์มากขึ้น
สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้ตระหนักดีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยฉพาะการโจรกรรมข้อมูล ทางบัตรเครดิต โดยเฉพาะกลุ่มคนต่างชาติ ที่เดินทางเข้ามา ในลักษณะนักท่องเที่ยว และทําการใช้บัตร หรือข้อมูลภายในบัตรเครดิตในประเทศไทย ซึ่งภายหลังหากมีกราปฏิเสธการสั่งจ่าย จากธนาคารเจ้าของบัตร จะส่งผลเสียให้กับอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และเจ้าของบัตรจํานวนปีละหลายร้อยล้านบาท โดยกองบัญชีการ ตํารวจท่องเที่ยวภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สาคร ทองมุนี ผบช.ทท., พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท., พล.ต.ต.ประเสริฐ เงินยวง ผบก.ทท.1 ได้จัดให้มีการเฝ้าระวัง ปราบปรามการกระทําความผิดในลักษณะดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมามีกลุ่มมิจฉาชีพ ได้ทําการใช้บัตรดังกล่าว ในหลายรูปแบบ เช่นโรงแรม ร้านอาหาร รถเช่าและสถานบริการต่าง ๆ
ต่อมาในวันนี้ 11 เม.ย. 61 กองบัญชาการตารวจท่องเที่ยวร่วมกับกองบัญชาการตารวจนครบาล
ได้ทำการจับกุม 1. MR.KHANDELWAL DEEPAK KUMAR สัญชาติอินเดีย หมายเลขพาสปอร์ต R 2865102
2. MR.LUTHRA ROHIT สัญชาติอินเดีย หมายเลขพาสปอร์ต L 5162498
พร้อมด้วยของกลาง 1.โทรศัพท์ยี่ห้อ SAMSUNG ไม่ทราบรุ่นของ MR.KHANDELWAL DEEPAK KUMAR 2.รูปถ่ายข้อมูลบัตรเครดิตของบุคคลอื่นซึ่งได้จากของกลางลำดับที่ 1 จานวน 13 ฉบับ 3.โทรศัพท์ยี่ห้อ ONEPLUS 5T ของ MR. LUTHRA ROHIT 4.รูปถ่ายข้อมูลบัตรเครดิตของบุคคลอื่นซึ่งได้จากของกลางลำดับที่ 3 จำนวน 9 ฉบับ
โดยกล่าวหาว่า มีไว้เพื่อนำออกใช้ และใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ซึ่งน่าจะก่อให้เกิด ความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
โดยมีพฤติการณ์ดังนี้ บริษัทเฟิร์สคลาสคอเปอร์เรชั่น ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว ว่าได้มีลูกค้ามาใช้บริการรถพร้อมคนขับและใช้บริการอื่นๆ กับทางบริษัทฯจำนวนหลายครั้ง มีการจ่ายเงิน ผ่านบริษัท PAYPAL จำนวน 4 ครั้ง ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 85,000 บาท และต่อมาได้ทำการตรวจสอบกับบริษัท PAYPAL และ PAYPAL ยังไม่สามารถยืนยันการจ่ายเงินกับธนาคารเจ้าของบัตรได้ และได้ทำการถอนเงินทั้งหมดที่จ่ายให้กับบริษัทกลับไป เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายกับทางบริษัท ทางบริษัทจึงได้ทำการตรวจสอบ เพิ่มเติมกับลูกค้าโดยขอให้ลูกค้าส่งข้อมูลมาให้เพิ่มเติมประกอบด้วยหนังสือเดินทาง และข้อมูลการเดินทาง และได้พบว่า ลูกค้าที่มาใช้บริการชื่อ MR.KHANDELWAL DEEPAK KUMAR แต่จากการตรวจสอบรายชื่อ และบัตรเครดิตที่ทาง PAYPAL ส่งมาให้ เป็นบัตรเครดิตของ Mr.DOMETRI TELIONIS และ Ms.Mahle ซึ่งไม่ใช่บัตรของผู้ต้องหา ซึ่งทางบริษัทฯเห็นความผิดปกติ และหลังจากนั้นทางบริษัทได้พยายามติดต่อ MR.KHANDELWAL DEEPAK KUMAR ทางโทรศัพท์แต่ MR.KHANDELWAL DEEPAK KUMAR ไม่ยอมรับสาย นางสาวจิดาภาฯ จึงได้ประสานตำรวจท่องเที่ยวท่าอากาศยานดอนเมืองเพื่อให้ติดตามผู้ต้องหา ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจท่าอากาศยานดอนเมือง ได้ติดตามตัวผู้ต้องหาจนพบผู้ต้องหาทั้ง 2 ที่บริเวณ ประตู 15 ชั้น 3 อาคาร 2 ท่าอากาศยานดอนเมือง จึงได้นาตัวมาตรวจสอบเอกสารทั้งหมด และพบว่าผู้ต้องหา ได้ใช้บัตรของผู้อื่นในการใช้บริการบริษัทเฟริสคลาสคอปเปอเรชั่น และตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์พบภาพถ่าย ข้อมูลบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นอีกจำนวนหลายราย โดยแต่ละรายมีรายละเอียดข้อมูลหมายเลขบัตร เลขพาสปอร์ต เลขรหัสซีซีวี วันหมดอายุ เบื้องต้นเชื่อว่าผู้ต้องหาทั้งสองสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ ทาธุรกรรมทางการเงินโดยเจ้าของบัตรไม่รู้เรื่อง
ผู้ต้องหาที่ 1 แล้วให้การรับสารภาพว่าตนได้ร่วมกับผู้ต้องหาที่ 2 ได้ร่วมกันใช้ข้อมูล ในบัตรเครดิตของผู้อื่นชำระค่าบริการรถเช่ากับทางบริษัทจริง และมีข้อมูลเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว ซึ่งน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ส่วน
ผู้ต้องหาที่ 2 ให้การว่าได้ทำการใช้ข้อมูล ในบัตรเครดิตจองโรงแรมในกรณีอื่น แต่ไม่ได้ใช้ในการทางธุรกรรมกับบริษัทของผู้เสียหาย และข้อมูล บัตรเครดิตตามของกลางลำดับที่ 5 นั้น ตนได้มาจากการถ่ายภาพหน้าจอคอมพิวเตอร์ จากบริษัทท่องเที่ยวที่ตน ทำงานอยู่ที่ประเทศอินเดียจริง จึงได้ทำการจับกุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
นอกจากนั้น สน.ชนะสงคราม ได้ร่วมกันปิดล้อมตรวจค้น เป้าหมายบุคคลต่างด้าวที่อยู่ในประเทศไทย โดยผิดกฎหมาย จํานวน 123 เป้าหมาย ทั่วประเทศ สามารถทำการจับกุมผู้ต้องหาได้ ทั้งหมด 82 รายมีรายละเอียด ดังนี้
1.จับกุมข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าว อยู่ในราชอาณาจักรโดยสิ้นสุดการอนุญาต
จํานวน 13 ราย (สัญชาติ อินเดีย 3 ราย, ลาว 3 ราย, เวียดนาม 2 ราย, ไนจีเรีย 2 ราย, กัมพูชา 1 ราย, ลาว 1 ราย, มาเลเซีย 1 ราย)
อันดับที่ 1 Mr.Nandlal อายุ 47 ปี
อันดับที่ 2 นาย จิว ตัว เกีย อายุ 58 ปี
อันดับที่ 3 Mr.Youly Nouphengdy อายุ 20 ปี
อินเดีย 962 วัน มาเลเซีย 473 วัน ลาว 100 วัน
2.จับกุมข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าว หลบหนีเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต
จํานวน 62 ราย (สัญชาติลาว 26 ราย, เมียนมา 24 ราย, อินเดีย 4 ราย, กัมพูชา 4 ราย, เวียดนาม 2 ราย,ปากีสถาน 1 ราย, ไลบีเรีย 1 ราย)
3. จับกุมข้อหาจํานวน 10 ราย (สัญชาติไทย 3 ราย, อินเดีย 2 ราย, เมียนมา 1 ราย, ไนจีเรีย 1 ราย)
ในการตรวจสอบครั้งนี้ ได้ทำการตรวจสอบเป้าหมายจำนวนทั้งสิ้น 123 เป้าหมาย แบ่งเป็น เป้าหมายโรงเรียนนานาชาติ 11 เป้าหมาย, สถาบันสอนภาษา 21 เป้าหมาย, โรงเรียนสามัญ 55 เป้าหมาย, รวมจำนวน 87 เป้าหมาย และเป้าหมายอื่น ๆ จำนวน 36 เป้าหมาย
จากการตรวจสอบสถานศึกษาครั้งนี้ ไม่พบสถานศึกษา ที่จ้างชาวต่างชาติผิดกฎหมายมาเป็น ครูสอนภาษาต่างประเทศแต่อย่างใด ถือได้ว่ามีการปฏิบัติตามกฎหมายและให้ความร่วมมือกับทางราชการ เป็นอย่างดี โดยทาง บช.ทท. จะดำเนินการตรวจสอบสถานศึกษาเพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างต่อเนื่องต่อไป
ถนนข้าวสารเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจะมาเล่นน้ำสงกรานต์ ตำรวจท่องเที่ยว จึงมีการตรวจพื้นที่เพื่อป้องกันเหตุ และเพิ่มความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยว
รวมยุทธการ 21 ครั้ง ตรวจค้นเป้าหมาย 2,877 เป้าหมาย จับกุมผู้กระทําความผิดได้ ทั้งหมด 720 ราย
CR. “ โอ๋ สมาคมคนข่าว ผู้สื่อข่าว นิวส์รีพอร์ต “ รายงาน