วันศุกร์, 17 มกราคม 2568

ชุมพร”ยึดป่าพรุใหญ่ 766 ไร่ คืนผืนป่า

ชุมพร-ยึดป่าพรุใหญ่766ไร่ ฟันทิ้งปาลมสองหมื่นกว่าต้น ชาวบ้านร่ำได้ป่าคืน

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 27 สค.63 ที่ป่าพรุใหญ่ หมู่ที่ 5 เชื่อมต่อหมู่ที่ 8 ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน จ.ชุมพร นายสมพร ปัจฉิมเพชร รอง ผวจ.ชุมพร พร้อมด้วย จนท.จากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วม 20 หน่วย ตำรวจ สภ.ปากน้ำหลังสวน ปลัดอำเภอหลังสวน กอ.รมน.ชุมพร กำนัน ผญบ. อส. ร่วม200นาย ร่วมกันเปิดยุทธการยึดผืนป่าพรุใหญ่ และ ตัดฟันต้นปาล์ม กว่า20,000 ต้น

นายวิชัย สมรูป ผอ.สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 4 กล่าวรายงานว่า”พื้นที่ป่าชายเลนที่ถูกบุกรุกในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าพรุใหญ่ ท้องที่ หมู่ที่5 และหมู่ที่ 8 ตำบลบางน้ำจืด อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร พื้นที่แปลงนี้ เจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันตรวจยึดตั้งแต่เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 เนื้อที่ 766.65 ไร่ และได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อตำรวจ สภ ปากน้ำหลังสวน ต่อมาอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2563 ให้ผู้กระทำความผิดโดยไม่ทราบชื่อออกจากป่าสงวนแห่งชาติป่าพรุใหญ่ และให้ยกเว้นการกระทำใดๆที่ทำให้เป็นอันตรายหรือทำให้เสื่อมสภาพและให้รื้อถอนพืชผลอาสินออกจากป่าสงวนแห่งชาติป่าพรุใหญ่ปรากฏว่าหลังจากที่ได้สิ้นสุดระยะเวลาแล้ว ผู้กระทำความผิดยังคงฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำสั่ง อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจึงได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2563 ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ ยึดทำลาย รื้อถอนแก้ไข หรือประการอื่นใดแก่สิ่งที่เป็นอันตรายหรือสิ่งที่ทำให้เสื่อมสภาพ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าพรุใหญ่ ท้องที่หมู่ที่๕ และหมู่ที่ 8 ตำบลบางน้ำจืด อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งโดยสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 4 สุราษฎร์ธานี จึงได้บูรณาการคณะทำงานเข้าปฏิบัติการตามคำสั่งรื้อถอนพืชผลอาสินออกจากพื้นที่ป่าชายเลนที่ถูกบุกรุกเพื่อจะนำพื้นที่ที่ยึดคืนมาปลูกฟื้นฟูสภาพป่าชายเลนให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ดังเดิม

นายสมพร ปัจฉิมเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร กล่าวว่า “การแก้ปัญหา ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการฟื้นฟูป่าชายเลน ไม่ใช่ภารกิจของหน่วยงานใดที่รับผิดชอบโดยเฉพาะซึ่งจะประสบความสำเร็จได้ยาก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วนโดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดกับทรัพยากร และมีวิถีชีวิตที่ต้องพึ่งพิงและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรย่อมรู้สภาพปัญหาที่แท้จริงและเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดหากทรัพยากรเสื่อมโทรมหรือหมดไป ปฏิบัติการรื้อถอนพืชผลอาสินออกจากพื้นที่ป่าชายเลนที่ถูกบุกรุกเป็นนโยบายหลักข้อหนึ่งของรัฐบาลในการทวงคืนผืนป่า เป็นสิ่งที่ดีและได้ประโยชน์หลายประการและเป็นการฟื้นฟูสภาพป่าชายเลนที่ถูกบุกรุกให้กับคืนสภาพเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ดังเดิม”

หลังจากนั้น ได้นำรถแบคโฮ 3 คัน ดำเนินการรื้อถอนต้นปาล์มน้ำมันกว่า 20,000 ต้น ในพื้นที่ 766.65ไร่ ซึ่งต้องใช้เวลาร่วม 20 วัน จึงจะแล้วเสร็จ จนท.ได้นำ นายสมพร ไปดูคันดินกั้นน้ำทะเล ที่นายทุนผู้บุกรุกทำเป็นถนนเพื่อกันน้ำทะเลไม่ให้เข้ามาท่วมผืนป่าที่ใช้ปลูกปาล์ม ทำให้ผืนป่าร่วมพันไร่ในบริเวณรอบๆได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดย จนท.จะทำลายคันดินรอบๆผืนป่าออกทั้งหมดเพื่อปล่อยให้น้ำทะเลไหลเข้ามาตามปกติ จึงทำให้ผืนป่าฟินตัวกลับคืนมาในเวลา5 ปีข้างหน้า อีกทั้งจะตรึงกำลัง จนท.ในพื้นที่จนกว่าจะฟื้นสภาพป่าได้สำเร็จ ซึ่งนายสมพรได้หันไปสั่งการ ให้ กอ.รมน.ชุมพร นำกำลังทหารเข้ามาสนับสนุน ทางด้านความปลอดภัยแก่ จนท.ที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ด้วย สำหรับป่าพรุใหญ่ แปลงนี้มีพื้นที่หลายพันไร่ เมื่อยี่สิบปีที่แล้วมีนายทุนขอสัมปทานปลูกปาล์ม จนหมดสัญญาสัมปทาน นายทุนกลับไม่ยอมรื้อถอนหรือปรับสภาพป่าให้คืนสภาพเดิม พยายามขอขยายเวลาสัมปทานแต่ไม่ได้รับอนุญาต แต่กลับเอาที่ดินไปหลอกขายชาวบ้านมีผู้เสียหายจำนวนหนึ่ง

ชาวบ้านที่มาติดตามดูการรื้อถอนถึงกับนั่งน้ำตาไหลริมทาง ที่ นายสมพรและคณะเดินผ่าน ทำให้นายสมพร รอง ผวจ.นั่งลงถามทราบว่ามีอาชีพหากินด้านประมงและทำสวนปาล์มในที่ดินตนเอง10ไร่ รู้สึกดีใจที่ได้ผืนป่ากลับคืนมาจะได้ จับปู ปลา กุ้งหอยในป่าชายเลนได้เหมือนสมัยพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ขณะเดียวกันได้มี นางสายใจ ปราบภัย อายุ 47 ปี บ้านเลขที่ 30 หมู่ที่ 6 ต.ตะโก อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร น้องสาวนายสมเดช พรหมมุสิก อดีตผู้ใหญ่บ้านนักอนุรักษ์ ที่ปกป้องผืนป่าชายเลน “ราชินี” จนถูกกลุ่มนายทุนยิงตายเมื่อร่วมสิบปีที่ผ่านมา เข้าร่ำไห้กับ นายสมพร รองผวจ.ชุมพรว่า หลังจาก ได้คืนผืนป่ามาชาวบ้านได้ช่วยอนุรักษ์ แต่ขณะนี้ได้มีกลุ่มนายทุนเข้ามาบุกรุกพร้อมข่มขู่ชาวบ้านอีก นายสมพรรับปากจะติดตามเรื่องดังกล่าวให้

นายสาธิต ศรีหฤทัย/ชุมพร

Loading