วันจันทร์, 30 กันยายน 2567

รมต.กระทรวงยุติธรรม”สั่งเร่งขยายผลจับแก๊งยาเสพติด”

“รัฐมนตรี” กระทรวงยุติธรรม สั่งเร่งขยายผลจับแก๊งยาเสพติด ตั้งเป้ายึดทรัพย์เพิ่ม 10 เท่า

 

เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 9 พ.ย.63 ที่โรงแรม อมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการผู้บริหารหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินคดีความผิดฐานสมคบ หรือสนับสนุนช่วยเหลือการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ที่โรงแรมอมารี ดอนเมือง โดยมี นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. อธิบดีอัยการภาค 1-9 พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ปส.พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รอง ผบช.ปส.พล.ต.ต.สุภธีร์ บุญครอง รอง ผบช.ภ.1 อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เลขาธิการ ปปง. และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.รวมกว่า 60 นายเข้าร่วมประชุม

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้มอบนโยบายที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การให้แต่ละจังหวัดตั้งเป้าหมายการยึดทรัพย์สิน และกำหนดแผนงานรองรับ รวมทั้งให้จัดทำแผนผังความเชื่อมโยงของเครือข่าย และเส้นทางการเงินของนักค้ายาเสพติด เพื่อนำมาตรการบังคับริบทรัพย์สิน มาตรการด้านการฟอกเงินและภาษี มาใช้ในการดำเนินการ กับเครือข่ายการค้ายาเสพติดรายสำคัญ และนายทุนที่อยู่เบื้องหลังการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า การดำเนินงานตรวจสอบและริบทรัพย์สินที่ผ่านมาในแต่ละปี หากคำนวณจากปริมาณยาเสพติดที่แพร่ระบาดอยู่มาเป็นตัวเงิน จะมีมูลค่ามากถึงหลัก ล้าน ล้านบาท แต่ในปีหนึ่งเราสามารถยึดทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดได้เพียงหลักพันล้านบาทเท่านั้น ซึ่งจากหลักคิดดังกล่าว จึงนำมาสู่แนวทางใหม่ในการยึดทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในกลุ่มผู้ถูกจับกุมและขยายผลไปยังเครือข่ายการค้า โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีการทำธุรกรรม ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่า จะเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เกี่ยวข้องกับยาเสพติดจากสำนักงาน ปปง. ซึ่งผมได้ตั้งเป้าหมาย ให้สามารถยึดทรัพย์สินให้ได้มากกว่าเดิม10 เท่า โดยสำหรับวิธีการดำเนินการนั้น ผมได้สั่งการให้จัดตั้งทีมสืบสวนขยายผล ด้วยการใช้เครื่องมือพิเศษ เชื่อมโยงกับทุกคดี และให้มีการตั้งหัวหน้าผู้รับผิดชอบที่ได้รับการฝึกอบรมแล้วมาดูแล

 

นายสมศักดิ์ เปิดเผยว่า ต่อจากนี้ไปจะให้มีการประเมินมูลค่ายาเสพติดตามมูลค่าจริงและให้ติดตามยึดทรัพย์สิน ในส่วนของมูลค่า หรือ ผลประโยชน์ที่ผู้กระทำผิดควรจะได้รับจากการค้ายาเสพติด รวมถึงการดำเนินคดีกับตัวการสำคัญ หรือ นายทุนที่อยู่เบื้องหลังการกระทำความผิด หรือผู้ร่วมขบวนการค้ายาเสพติด รวมทั้ง ผู้ที่สนับสนุนช่วยเหลือการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยทั้งหมดจำเป็นต้องอาศัยมาตรการทางกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534

นายสมศักดิ์ เปิดเผยอีกว่า ในความผิดฐานสมคบหรือสนับสนุนช่วยเหลือ และการดำเนินคดีในความผิดฐานฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 รวมทั้งความผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษี ตามประมวลรัษฎากร โดยการดำเนินคดีความผิด ฐานสมคบและสนับสนุนช่วยเหลือฯนั้น เป็นมาตรการหลักสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือด้วยดีจากทุกฝ่าย ซึ่งยังมีปัญหาและอุปสรรคในการทำสำนวนคดีสมคบ คือ พยานหลักฐาน ข้อมูลทางโทรศัพท์ ความเคลื่อนไหวในบัญชีธนาคาร เอามาแลกกับคำขออนุมัติจับกุมไม่ทัน จะทำอย่างไรให้ทันการขออนุมัติแจ้งข้อหาจับกุม จะย่นเวลาอย่างไรให้เร็ว และปัญหาการทำสำนวนคดีฟอกเงิน ไม่มีระเบียบวิธีที่ชัดเจนในการทำคดี จะเก็บหลักฐานอย่างไรให้ครบถ้วน
“การประชุมเชิงปฏิบัติการในวันนี้ ผมมีความมุ่งหมายที่จะพัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพ ในการดำเนินคดีกับตัวการสำคัญ หรือ นายทุนที่อยู่เบื้องหลังการกระทำความผิด ผมจึงหวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากท่านอีกครั้งหนึ่งในการที่จะได้ร่วมกันระดมความคิดเห็น และประสบการณ์ เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์

ด้านนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า การดำเนินคดีความผิดฐานสมคบหรือสนับสนุนช่วยเหลือฯ กฎหมายบัญญัติให้ขออนุมัติต่อเลขาธิการ ป.ป.ส. เพื่อพิจารณากลั่นกรองพยานหลักฐานก่อนที่จะไปดำเนินการต่อผู้กระทำความผิด ซึ่งที่ผ่านมามีการยื่นคำขออนุมัติดำเนินคดีในฐานความผิดดังกล่าวเป็นจำนวนมากและมีคณะที่ทำหน้าที่พิจารณาที่ส่วนกลาง 1 คณะการรวมศูนย์ในการพิจารณาคดีจากทั้งประเทศอยู่ที่ส่วนกลางจึงอาจเกิดความล่าช้า ซึ่งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เล็งเห็นถึงความข้อบกพร่องดังกล่าว ประกอบกับนโยบายของพลเอกประยุทธ์ จันทโอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้ให้ไว้เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2563 มอบหลักสำคัญในการทำงน โดยให้ทุกฝ่ายทบทวนหาข้อบกพร่อง เพื่อแก้ไขปรับปรุง และขจัดอุปสรรคต่างๆทางด้านข้อกฎหมายและทำงานร่วมกันในรูปแบบคณะทำงานพิเศษเพื่อลดการทำงานในลักษณะต่างคนต่างปฏิบัติ

Loading