ชาวบ้านสุดทนแจ้งฝ่ายปกครองจับกลุ่มนายทุนคนมีสีลักลอบตัดไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาตินายางกลักพบไม้แปรรูปจำนวนมากซุกซ่อนอยู่ในป่านับ100ท่อน ค่าเสียหายกว่า 5 ล้าน
ชาวบ้านตำบลบ้านไร่ อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ สุดทนแจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจับกลุ่มนายทุนและกลุ่มบุคคลที่อ้างตัวเป็นผู้ใหญ่บ้านและเจ้าหน้าที่ ป่าไม้ สั่งการให้สมุนนับ10คนนำรถบรรทุก10ล้อ เครื่องมือกล เข้ามาลักลอบตัดไม้หวงห้าม บนเทือกเขาพังเหย ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พบไม้ซุงจำนวน 100 ท่อน ซุกซอนอยู่ในป่า พร้อมเลื้อยยนต์และอุปกรณ์จำนวนมาก และเตรียมขยายผลจับกุล่มนายทุนมาดำเนินคดีด่วนแล้ว
วันนี้ (21 มกราคม 64 ) นายสิทธา ภู่เอี่ยม นายอำเภอเทพสถิต พร้อมด้วย นาย อนา อนาวิโล นักวิการป่าไม้ หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชย.1(นายงกลัก) พร้อมกำลงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ร.ต.อ.สุภวรรณ มีชำนาญ รองสว.สอบสวน สภ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ
ได้สนธิกำลัง จำนวนกว่า 30 นาย ร่วมกันออกจับกุมตัวผู้กระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการป่าไม้ ตามที่ได้รับแจ้งจากประชาชนผู้หวังดีว่า มีกลุ่มนายทุนและคนมีสี สั่งการลูกน้องพร้อมเครื่องจักรกลครบมือเข้ามาทำการลักลอบตัดโค่นต้นไม้ประดู่ขนาดใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 1 เมตร ภายในบริเวณเขตป่าสงวนแห่งชาติป่า บนเทือกเขาพังเหย แล้วชักลากลงมาซุกซอนไว้ใน บริเวณสวนป่านายังกัก ที่เป็นที่ดินของนายไกรศรี สุวรรณนานนท์ ซึ่งได้มีการขึ้นทะเบียนเป็นสวนป่าไว้ถูกต้อง แต่ไม้ที่ตัดไม่ใช่ไม้ที่ปลูกแต่เป็นไม้ป่าตามธรรมชาติ ที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้กับบ้านไร่พัฒนา ต.บ้านไร่ อ.เทพสถิต จ.ชัยภูม
ขณะกำลังเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมพบกลุ่มบุคคลดังกล่าวกำลังใช้รถไถนา เคลื่อนย้ายไม้ท่อนซุงขึ้นบรรทุกรถ 10 ล้อเตรียมนำไปแปรรูป โดยมีชายที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เป็นผู้ยื่นบงการอยู่ในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาเป็นชาวบ้านเป็นชายจำนวน 7 คน ส่วอีกคนทราบชื่อคือนาย นิยม นามสมมุด ผู้บงการที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้อาศัยความชุนละมุนเดินหลบหนีหายไม่อย่างไรร่องลอย เจ้าที่จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมของกลางรถบรรทุก10ล้อทะเบียน71-0937. ยี่ฮ้อฮีโน่ สีขาว ซึ่งติดเครนในตัว 1คัน รถไถ่ยี่ฮ้อคูโบต้า1คัน เลื้อยยนต์ จำนวน 2 เครื่อง และน้ำมันเชื้อเพลิงจำนวน 2 แกนลอน.ส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีในข้อหา 2ข้อหา คือทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ นายางกลัก และทำไม้ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตามพรบ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484
สอบสวนนาย.วุฒิ ปรางค์ปรุ อายุ 51ปี คนขับรถบรรทุก ทราบว่าตนเองเป็นเพียงคนรับจ้างขนย้ายซึ่งมีผู้หญิงที่ใช้ชื่อไลค์ ว่า ธีร์ ได้ว่าจ้างตนให้วิ่งรถจากโคราชมาเคลื่อนย้ายไม้ให้ ในราคา6,500 บาท ตนเห็นว่าในช่วงนี้ไม่ค่อยมีงานจึงรับงานนี้โดยหญิงคนดังกล่าวบอกว่าเป็นไม้ที่ขออนุญาตถูกต้องรู้ว่าผิดกฎหมายคงไม่รับงานนี้รู้สึกเสียใจมากเพราะตนเป็นแค่คนรับจ้างเท่านั้นเอง
ด้านนายอุทิศ เกิดโมเล อาย59ปี หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูจับ กล่าวว่าตนและเพื่อนบ้านดังกล่าวได้รับการว่าจ้างจาก ผู้ใหญ่บ้านท่านหนึ่งและกลุ่มนายทุนนายนิยมฯที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ มาจากภาคเหนือให้มาช่วยตัดไม้บนเทือกเขาดังกล่าวแล้วใช้รถไถ่ชักลากออกกจากป่ามาซุกซอนไว้ในบริเวณที่ดินของนายไกรสรณ์ สุวรรณานนท์ ที่อ้างว่าเป็นสวนป่าของหมู่บ้านและเตรียมขนย้ายขึ้นรถบรรทุกเพื่อส่งขายให้กับนายทุนใหญ่แปรรูป ที่โรงงานในจังหวัดเพชรบูรณ์และลพบุรีต่อไป
อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้จะดำเนินการติดตามหาตัวผู้ว่าจ้างกระทำผิดกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้ามตามมาตราป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 11 ฐานทำไม้หวงห้ามโดยมิได้รับอนุญาต มาตรา 48 ฐานมีไม้ประดู่ ที่เป็นไม้หวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 และมาตรา 14 ข้อหาฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาต เพื่อหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมมาอีกว่า ในการสืบสวนในทางลับพบว่า พื้นที่ดังกล่าวมีกลุ่มทุนและมีข้าราชการบางหน่วยงาน ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลกลุ่มหนึ่ง และในอดีตที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรู้เห็นเป็นใจคอยให้การสนับสนุนการบุกรุกครอบครองพื้นที่ส่งผลให้มีการตัดไม้ทำลายป่าอย่างกว้างขวาง อ้างว่าไม้ดังกล่าวนำไปทำโต๊ะประชุม โต๊ะทำงาน ให้แก่ผู้ใหญ่ระดับสูง ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าวไม่กล้าที่จะแจ้งข่าวให้เจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบ เพราะบางรายมีส่วนรู้เห็นกับการรับผลประโยชน์กับการค้าไม้เถื่อนรายใหญ่ในจังหวัดชัยภูมิ
จึงได้แจ้งเรื่องร้องเรียนไปยังศูนย์ดำรงธรรมอำเภอเทพสถิต ให้นำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ลงพื้นที่ตรวจสอบและพบการกระทำผิดจริง และตัดต้นไม้เสียหายอย่างมหาศาล และการตัดไม้รายใหญ่ในพื้นที่ดังกล่าวมีการกระทำมาเป็นเวลานานแล้ว จึงรวบรวมข้อมูลหลักฐานทั้งหมดเสนอผู้บังคับบัญชา ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
วิรัตน์ ดวงแก้ว จ.ชัยภูมิ/ภาพ/ข่าว/ รายงาน