เดอะโอ๋ !!! นำทีมรวบ ศักดิ์ เมือง เพชร คนร้ายลักทรัพย์(ตู้เซฟ) ก่อเหตุมาอย่างโชกโชน
วันที่ 18 พ.ย. 64 ที่สภ.โพธิ์แก้ว จว.นครปฐม พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 พร้อมด้วย พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต รอง ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.บุญญฤทธิ์ รอดมารอง ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.ชมชวิณ ปุระธนานนท์ ผบก.ภ.จว.นครปฐม พ.ต.อ.กัมปนาท ณ วิชัย ผกก.สภ.โพธิ์แก้ว ได้ร่วมกันแถลงผลจับกุมตัวนาย ยุทธศักดิ์ งามขำ อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐมที่ 318/2564 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 ผู้ต้องหาก่อเหตุลักทรัพย์(ตู้เซฟ)รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท ตามหมายจับของศาลจังหวัดนครปฐม ในข้อหาความผิดฐาน “ลักทรัพย์ในเคหสถาน ในเวลากลางคืน โดยทำลายหรือผ่านสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือให้พ้นการจับกุม”
พร้อมของกลางรถยนต์ Toyota รุ่น Altis สีเทา หมายเลขทะเบียน 3 กพ 1247 กรุงเทพมหานคร(ใช้ก่อเหตุ) รถยนต์ Toyota รุ่น Cross สีเทา หมายเลขทะเบียนป้ายแดง ก-2669 เพชรบุรี(นำเงินที่ได้จากการก่อเหตุไปซื้อ) ธนบัตรต่างประเทศจำนวน 23 ฉบับ,กระเป๋าสตางค์ 1 ใบ และบัตร ATM จำนวน 4 ใบ (ของนายยุทธศักดิ์),นาฬิกา 2 เรือน,แหวนทองคำ ประดับเพชร จำนวน 10 วง,เหรียญและพระเครื่อง จำนวน 7 เหรียญ,กำไรหินสีเขียว 1 เส้น,เพชรบรรจุพลาสติกใสจำนวน 7 ถุง,แว่นขยายสองพระ จำนวน 2 อัน,ป้ายทะเบียน จำนวน 2 แผ่น หมายเลข 7กบ 2276 กทม. และหมายเลข 1ขฆ 9971 กทม.,ชุดที่ใช้ในการก่อเหตุมีเสื้อ จำนวน3 ตัวกางเกง จำนวน 2 ตัว และกระเป๋าเป้ 1 ใบ,ชะแลง 1 อัน และไฟฉายคาดศีรษะ จำนวน 1 อัน (อุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อเหตุ)
พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 เปิดเผยว่าเมื่อ 6 พ.ย. 64 เวลาประมาณ 16.00 น.ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.โพธิ์แก้วได้รับแจ้งเหตุว่าเกิดเหตุคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ที่บ้านเลขที่ 101/433 ซอย 8 ของหมู่บ้านปรีชา ถ.พุทธมณฑลสาย 4 ม.9 ต.กระทุ่มล้ม อ.สามพราน จว.นครปฐม โดยมีผู้เสียหาย น.ส.ทิพวรรณ ธรรมเสถียร อายุ 69 ปี ทรัพย์ที่ถูกประทุษร้ายได้แก่ เงินสด เครื่องเพชร ทองคำ พระพุทธรูป และพระเครื่อง มูลค่ารวมประมาณกว่า 5,000,000 บาท จากการสอบถาม น.ส.ทิพวรรณ ผู้เสียหายแจ้งว่าโดยปกติตนและสามีจะพักอาศัยอยู่ที่โรงงานกระดาษ ใน อ.กระทุ่มแบน จว.สมุทรสาคร และนานครั้งตนจะมาพักอาศัยที่บ้านหลังที่เกิดเหตุ โดยเมื่อวันที่ 29 ต.ค.64 ได้เข้ามาตรวจดูที่บ้านพบว่ายังอยู่ในสภาพเรียบร้อย ต่อมาในวันที่ 6 พ.ย.64 เวลาประมาณ 06.00 น.น.ส.ทิพวรรณ ผู้เสียหายได้รับแจ้งจากเพื่อนบ้านว่าประตูด้านข้างของรั้วบ้านได้เปิดแง้มอยู่ตนจึงได้กลับมาดูที่บ้านพบว่าถูกรื้อคันและตู้เซฟถูกงัดและทรัพย์สินสูญหายไปหลายรายการ จึงแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำการตรวจสอบ
พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 เปิดเผยต่อว่าจากการสืบสวนของทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนทราบว่าบุคคลที่ก่อเหตุคือ นายยุทธศักดิ์ งามขำอายุ 39 ปีได้ใช้รถยนต์โตโยต้ อัลติส สีเทา ติดทะเบียน ญจ 1355 กรุงเทพ (ทะเบียนปลอมที่ใช้ในวันก่อเหตุ) ทราบทะเบียนจริงของรถยนต์ก่อเหตุคันดังกล่าวคือ 3 กพ 1247 กรุงเทพ จึงได้รวบรวมวัตถุพยานหลักฐานต่างๆยื่นขออนุมัติหมายจับนายยุทธศักดิ์ต่อศาลจังหวัดนครปฐมที่ 318/64 ลงวันที่ 16 พ.ย. 64 ในความผิดฐาน “ลักทรัพย์ในเคหสถาน ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับผู้คุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือผ่านสิ่งเช่นว่านั้นด้วยประการใดๆ โดยเข้าช่องทางซึ่งได้ทำขึ้นโดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้าและโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม” ต่อมาวันที่ 17 พ.ย.64 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสืบทราบว่า นายยุทธศักดิ์ ได้หลบหนีไปอยู่ในพื้นที่ จว.ปทุมธานี จึงนำกำลังเข้าไปตรวจสอบ พบตัว นายยุทธศักดิ์ จึงทำการจับกุมตัวพร้อมของกลาง
จากการสอบสวนขยายผล นายยุทธศักดิ์ ให้การรับสารภาพว่าได้ตระเวนก่อเหตุลักทรัพย์มาแล้วหลายครั้งในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค7 พื้นที่ตำรวจภูธรภาค 1 และพื้นที่ตำรวจนครบาล ซึ่งได้ประสานงานเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ต่างๆดำเนินการสืบสวนขยายผลต่อไป
ทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.โพธิ์แก้วดำเนินคดีตามกฎหมาย ในชั้นจับกุม นายยุทธศักดิ์ฯ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
คุณจุฬาลักษณ์ ธนานิตยะอุดม ญาติผู้เสียหายเดินทางมาชี้ยืนยันทรัพย์สินที่ถูกประทุษร้าย โดยได้มอบกระเช้าขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เร่งรัดจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุและติดตามทรัพย์สินที่ถูกลักไปได้กลับมาด้วยความรวดเร็ว
การปฏิบัติในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมบูรณาการกำลังตามหลักการ “กัดไม่ปล่อย ล่าไม่ถอย คอยไม่เลิก” จนกระทั่งสามารถติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ในเวลาต่อมา การปฏิบัติการดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งนี้จึงถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในการพิทักษ์และรับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง ในนามของตำรวจภูธรภาค 7 ได้ฝากถึงครอบครัวผู้เสียหาย ว่าตำรวจทำงานอย่างเต็มที่เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับผู้เสียหาย โดยทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้มอบเงินส่วนตัวให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงาน และขอชมเชยพร้อมทั้งขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ได้ทำงานด้วยความวิริยะ อุตสาหะ เสียสละ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้สังคมส่วนรวม และขอให้รักษาความดีนี้ไว้สืบต่อไป