ครอบครัวตัญกาญจน์ เปิดทางทีมงานทนายความมืออาชีพเข้าดูแลคดีการเสียชีวิตปริศนาของ “น้องเมย”แล้ว หลังอัยการศาลทหาร มีคำสั่งฟ้องรุ่นพี่บังคับบัญชาในข้อหาทำร้ายร่างกาย ส่วน สภ.นครนายก แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรถึงครอบครัวเรื่องการสอบพยานบุคคลเสร็จแล้ว 28 ปาก และได้ทำหนังสือเลขาธิการแพทยสภา เพื่อให้สมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย จัดหาผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นถึงผลชันสูตรที่แตกต่างของ 2 สถาบัน
เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ ( 25 กุมภาพันธ์) ครอบครัวตัญกาญจน์ ประกอบด้วย นายพิเชษฐ์ – นางสุกัลยา และ น.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์ พร้อมบรรดาญาติพี่น้อง คนรู้จักและประชาชนทั่วไป ได้ร่วมกันประกอบพิธีทำบุญเททองหล่อพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตัก 29 นิ้ว ถวาย วัดวิเวการาม จ.ชลบุรี เพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับ นตท.ภัคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย ณ โรงหล่อพระสมานช่างหล่อ ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ภายในพิธียังมีทีมดูแลงานกฎหมายเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ น้องเมย เข้าร่วมด้วย
โดย นายพิเชษฐ์ –นางสุกัลยา และ น.ส.สุพิชา บอกว่าขณะประกอบพิธีได้มีนิมิตที่ดีซึ่งบอกให้รู้ว่า น้องเมย ได้รับรู้ถึงงานบุญที่ทางครอบครัวทำให้ และหวังว่า น้องเมย จะได้อยู่ในภพภูมิที่ดียิ่งขึ้น ส่วนทางคดีนั้นยกให้เป็นหน้าที่ของทีมงานทนายความจาก บริษัท บาร์ริสเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลอว์เฟิร์ม จำกัด ซึ่งมีความเป็นมืออาชีพ เพราะที่ผ่านมาทางครอบครัว ได้เดินหน้าหาหลักฐานต่างๆ จนสุดความสามารถภายใต้การช่วยนำเสนอข่าวสารของสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง หลังจากนี้จึงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่มีเชี่ยวชาญด้านกฏหมายในการหาคำตอบที่ชัดเจนให้กับครอบครัวต่อไป
ขณะที่ นายสาธิต พูนสวัสดิ์พงศ์ หัวหน้าทีมดูแลงานกฎหมายทั้งหมด เผยว่าเนื่องจากคดีนี้เกิดขึ้นนานแล้วและความคืบหน้าทางคดีเป็นไปค่อนข้างช้า ซึ่งในช่วงแรกของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประมาณวันที่ 22-23 ส.ค. 2560 พนักงานอัยการศาลทหาร ได้มีการสั่งฟ้องผู้ต้องหาซึ่งเป็นรุ่นพี่บังคับบัญชาไปแล้ว ในข้อหาทำร้ายร่างกาย และอยู่ระหว่างที่ศาลทหาร จะเรียกตัวจำเลย มาสอบคำให้การ ซึ่งตัวจำเลยมีสิทธิที่จะปฏิเสธหรือรับสารภาพก็ได้ และหากจำเลยรับสารภาพ ศาลก็จะตัดสินไปตามคีด แต่หากปฏิเสธ ศาลก็จะนัดสืบพยานหลักฐาน เพื่อกำหนดว่าฝ่ายอัยการมีสิ่งใดสืบเพิ่มเติม และจำเลยก็มีสิทธิที่จะแต่งทนายขึ้นสืบพยาน เพื่อให้ศาลใช้ดุลพินิจต่อไป
“ แต่ พรบ.ธรรมนูญศาลทหาร ก็มีข้อจำกัดสิทธิของผู้เสียหายคือ ผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องต่อศาลทหารได้ จะต้องเป็นผู้ที่อยู่ในอำนาจของศาลทหาร กรณี น้องเมย อยู่ในอำนาจศาลทหาร แต่บุกการี ให้เป็นผู้เสียหายที่มีอำนาจจัดการแทน กรณีผู้เสียหายจริงถึงแก่ความตาย ซึ่ง ป.วิ อาญา ไม่สามารถนำไปใช้ได้กับ พรบ.ธรรมนูญศาลทหาร ดังนั้น แม่จึงไม่มีสิทธิที่จะเข้ายื่นคำร้องต่อฟ้องต่อศาลทหาร เพื่อเป็นโจทย์ร่วมกับพนักงานอัยการ จึงทำให้ถูกจำกัดสิทธิในการนำเสนอพยานหลักฐานเพื่อเข้าสู่สำนวนระหว่างการพิจารณาของศาลทหาร และมีสิทธิเพียงให้หลักฐานต่ออัยการศาลทหารเท่านั้น แต่อัยการศาลทหาร จะเชื่อหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ”
นายสาธิต ยังกล่าวอีกว่าเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแยกเป็นหลายๆ ส่วนของการดำเนินคดี ซึ่งในส่วนของคดีอาญาต้องขึ้นศาลทหาร แต่ในส่วนค่าสินไหมทดแทน ต้องขึ้นศาลพลเรือนหรือศาลปกครอง ที่สำคัญคดีนี้มีกรณีเกี่ยวกับการตายที่ผิดธรรมชาติ จึงมีการชันสูตรพลิกศพและเข้าใจว่าน่าจะขึ้นศาลยุติธรรม ซึ่งผลของการไต่สวนชันสูตรพลิกศพ จะเป็นจุดสำคัญที่นำไปสู่การดำเนินคดีอาญากับผู้เกี่ยวข้อง แต่ในเบื้องต้นในชั้นไต่สวนการชันสูตรพลิกศพ จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าผู้ตาย เสียชีวิตเพราะเหตุใดก่อน
ทั้งนี้ล่าสุด พนักงานสอบสวน สภ.นครนายก ได้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อมารดาของ “น้องเมย” ว่าได้สอบพยายบุคคลไปแล้ว 28 ปาก แต่จะมีประเด็นหนึ่งที่พนักงานสอบสวนกำลังรอเรื่อง คือประเด็นเกี่ยวกับ ผลตรวจชันสูตรพลิกศพ ที่จัดทำโดยโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ กับ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ที่ความเห็นทางวิชาการแตกต่างกัน ดังนั้น พนักงานสอบสวนจึงแจ้งมายังคุณแม่ว่าอยู่ระหว่างการทำหนังสือถึง เลขาธิการแพทยสภา เพื่อให้ติดต่อไปยังสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย เพื่อจัดหาผู้เชี่ยวชาญเข้ามาให้ความเห็นถึงความต่างทางวิชาการ ของทั้ง 2 สถาบัน
“สำหรับมุมมองของผมเห็นว่า แพทย์ที่ให้ความเป็นกลางจากสถาบันใดก็ได้ ที่จะต้องเข้ามาพิสูจน์ผลการตรวจสอบที่ต่างกันของทั้ง 2 สถาบัน เพื่อให้ได้รับคำยืนยันว่าเป็นการตายผิดธรรมชาติ ซึ่งเราต้องการเพียงที่จะทำให้ ความจริงออกมาว่า สุดท้ายแล้วผู้ตายเสียชีวิตด้วยสาเหตุใด เนื่องจากบางข่าวออกมาว่า ล้ม วูบไป ตกบันไดเสียชีวิต แต่ทางครอบครัวมีความเชื่อตามหลักฐานที่มีอยู่ในมือว่ามีการตายผิดธรรมชาติ ซึ่งต้องใช้ผลทางนิติวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ และจะมีหน่วยงานกลางเข้ามาตรวจสอบผล”
นายสาธิต ยังกล่าวทิ้งท้ายว่าขณะนี้ทีมทนาย อยู่ระหว่างการส่งหนังสือ เพิ่มเติมให้กับทางแพทยสภา หลังทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำหนังสือไปยังแพทยสภาแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับ ซึ่งหากระยะเวลาเนิ่นนานไป ทีมทนายก็มีสิทธิที่จะสอบถามเข้าไปได้ในฐานะตัวแทนของแม่ผู้ตาย
“เป็นสิทธิของแพทย์สภา และสิทธิของสมาคมแพทยสภา ที่จะติดต่อไปยังสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทยว่าจะให้ความร่วมมือหรือไม่ก็ได้ เพียงแต่เราเพียงแค่จะขอความเมตตาว่าขอให้ความจริงเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อผลของความจริงออกมาเช่นไร ผลนั้นจะไปต่อยอดทางคดีเอง ”นายสาธิต กล่าว
ภาพ/ข่าว สมชาย แก้วนุ่ม
นาย พรเทพ เขม้นเขตวิทย์
รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก