วันอังคาร, 4 มีนาคม 2568

รมต.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจราชการพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

เมื่อวันที่ 7 มี.ค.61 พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางมาเป็นประธานในการประชุมหารือ ผวจ.ประจวบฯ เพชรบุรี นายอำเภอหัวหิน นายอำเภอกุยบุรี กรมอุทยานฯ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับฟังปัญหาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาช้างป่า ณ สนง.เทศบาลเมืองหัวหิน อ.หัวหิน ในโอกาสเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่2/2561 และตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี และสมุทรสาคร ในระหว่างวันที่ 5-6 มี.ค.61 ที่ผ่านมา

โดยการหารือได้ร่วมกับนายโชตินรินทร์ เกิดสม รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ผอ.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์และเพชรบุรี นายอำเภอหัวหิน นายอำเภอกุยบุรี หน่วยเฉพาะกิจจงอางศึก หน่วยเฉพาะกิจทัพพระยาเสือ หน.ปภ.จ.ประจวบฯ และจ.เพชรบุรี นายก อบต.หนองพลับ อบต.ห้วยสัตว์ใหญ่ เครือข่าย WWF ประเทศไทย ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ ผอ.สบ.3 เพชรบุรี ผู้แทนกรมป่าไม้ ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมทรัพยากรแห่งชาติทางทะเลและชายฝั่ง พร้อมทั้ง หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงาน เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ตลอดทั้ง นักวิชาการและนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาช้างป่าในพื้นที่ 2 จังหวัด

การจัดประชุมครั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาช้างป่าในพื้นที่ภาคตะวันตกของประเทศ ที่ผ่านเกิดสภาวะภัยแล้งและขาดแคลนอาหารในธรรมชาติ จึงส่งผลให้โขลงช้างป่าลงมาทำลายพืชผลทางการเกษตรและบ้านเรือนที่พักอาศัยของราษฎรอยู่เนือง ๆ ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งสูญเสียความสมดุลในทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ในระดับนโยบายจึงกำหนดให้มีการจัดการ one map แผนที่ในเขตอุทยานแห่งชาติกับพื้นที่ สปก. นอกจากนี้ยังได้จัดให้มีแผนบริหารจัดการ 20 ปี ในกลุ่มสัตว์ป่าคุ้มครอง ได้แก่ เสือโคร่ง ช้างป่า ลิง และตัวเงินตัวทองอีกด้วย

โดยการหารือแนวทางแก้ไข ได้ดำเนินตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์พระบรมราชินาถ จากการสำรวจมีจำนวนประชากรช้างป่าในประเทศไทยมีจำนวนประมาณ 2,300 ตัว ในแต่ละปีจะมีปัญหาและผลกระทบมาอย่างต่อเนื่องทั้งในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี (มีช้างป่าจำนวน 237 ตัว) อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ต.ห้วยสัตว์ใหญ่ ต.ป่าละอู และ ต.ป่าเด็ง (มีช้างป่าประมาณ 150 ตัว รวมทั้งแนวขอบของป่ามีช้างป่าอีกประมาณ 50 ตัว) ที่ผ่านมาอุทยานกุยบุรี อุทยานแก่งกระจาน อำเภอ ส่วนราชการ ภาคเอกชน WWF. ฯลฯ ได้ร่วมกันจัดสร้างแหล่งหญ้าอาหารของช้างป่า โป่งเทียม และแหล่งน้ำสำหรับสัตว์ป่า มีการจัดชุดผลักดันช้าง แต่เมื่อเกิดสภาพความแห้งแล้ง ก็จะเกิดการบุกรุกกัดกินทำลายพืชผลทางการเกษตรของเกษตรของเกษตรกร บางครั้งทำลายบ้านเรือนของราษฎร บางครั้งทำร้ายคน

การสร้างกรอบแนวคิดจึงมุ่งไปสู่การสร้างแหล่งอาหารในป่า เมื่อช้างลงมาบริเวณชายป่าต้องดูแลความปลอดภัยให้กับช้างทุกตัว มีการดำเนินการสร้างแนวป้องกันช้างบูรณาการภารกิจของหลายหน่วยงานร่วมกันแก้ไขปัญหา สร้างระบบเตือนภัย จัดการท่องเที่ยวเชิงสัตว์ป่าที่ปลอดภัย เช่น อุทยานแห่งชาติกุยบุรี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงต้องมีแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว รวมทั้งให้สามารถเยียวยาช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากช้างป่าตามระเบียบของทางราชการ ซึ่วนายอำเภอกุยบุรีได้เสนอให้มีการเพิ่มค่าชดเชยตามระเบียบกระทรวงการคลังให้มากขึ้นสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ทุเรียน ผลไม้ยืนต้น

ความสำเร็จในการแก้ปัญหาจึงอยู่ที่ความร่วมมือด้วยกลไกประชารัฐ สนธิความร่วมมืออย่างใกล้ชิด มีความศรัททธาไว้วางใจกัน เพราะเป็นความร่วมมือร่วมใจที่ปราศจากการพึ่งพาเงินงบประมาณ และยังสามารถลดความหวาดระแวงต่อกัน
ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้วางแผนแม่บทริเริ่มแก้ปัญหา โดยให้คนอยู่กับช้างได้อย่างสมานฉันท์ แยกแยะช้างที่มีพฤติกรรมใช้อารมย์และความรุนแรงออกไป ป้องกันการบุกรุกพื้นที่ในเชิงสร้างสรรค์ สร้างกิจกรรมในเชิงบวกแก่ช้าง ราษฎร และนักท่องเที่ยว ลดความเสี่ยงต่อการใช้ความรุนแรง สร้างทางเลี่ยงป่าลดการเสียชีวิตจากการถูกรถชน และให้ยกการแก้ปัญหาไปสู่ระดับชาติ ซึ่งเป็นภาพรวมระดับประเทศในทุกมิติ และต้องกระจายความร่วมมือให้ทุกฝ่ายได้รับผิดชอบร่วมกัน ใช้กลยุทธ์จากไทยนิยมยั่งยืนมาเป็นต้นแบบในการแก้ปัญหา พร้อมรับข้อเสนอจากทุกฝ่ายเพื่อให้ นำไปสู่การแก้ไขปัญหาในระดับชาติต่อไป

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังได้กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ท่านนายกรัฐมนตรีมอบให้มารับฟังปัญหาเพราะประชากรข้างป่าเพิ่มมาก ให้วางแผนทั้งระบบ เยียวยาชดเชยความเสียหายแก่ผู้ได้รับผลกระทบ รัฐบาลแก้ปัญหาช้างทั้งระบบทั้งช้างในเมือง และช้างในป่า จัดการแหล่งอาหาร น้ำ หญ้า ผลไม้ ให้พื้นที่ป่าเพิ่มมากขึ้น มี 32% เพิ่มป่าในเมือง ฟื้นฟูป่า ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากไม้เศรษฐกิจในเชิงพาณิชย์อย่างเหมาะสมและสมดุลอีกด้วย
โดยนายอำเภอกุยบุรีได้เสนอให้เชื่อมผืนป่ากุยบุรีและแก่งกระจานเข้าหากัน และเชื่อมผืนป่ากับผืนป่าเลนย่า ฯลฯ ประเทศเมียนมาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกันและเป็นป่าที่มีขนาดใหญ่กว่าป่าของไทยมาก เพื่อให้สัตว์ป่าสามารถเดินช้ามไปมาได้อย่างปลอดภัย ทำเป็นซาฟารีของโลกร่วมกัน
รมต.ฯ มีโครงการที่จะตรวจเยี่ยมบ้านย่านซื่อ ต.หาดขาม อ.กุยบุรี ในเร็วๆ นี้ต่อไป

Loading