มาตรการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ครั้งที่ 13
วันศุกร์ที่ 27 เมษายน 2561 เวลา 10.00 น. ตามนโยบายของรัฐบาลให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการปราบปรามกลุ่มองค์กรอาชญากรรมที่กระทำ ความผิดและส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีพฤติการณ์ใช้โทรศัพท์หลอกลวงประชาชนโดย แสดงตนเป็นบุคคลอื่น หรือกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีพฤติการณ์ใช้โทรศัพท์หลอกลวงประชาชนทั่วไปและมีผู้หลงเชื่อจนเป็น เหตุให้เกิดการสูญเสียทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมาก และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้มีคำสั่งให้จัดตั้ง“ศูนย์ป้องกัน และปรามปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” โดยมอบหมายให้ พล.ต.อ.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. เป็น ผอ.ศูนย์ฯ และให้ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. ควบคุม กำกับชุดปฏิบัติการประจำศูนย์ฯ ได้ประสานความร่วมมือกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ร่วมปฏิบัติการ ทลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ จากการปฏิบัติงานของสายด่วน ๑๗๑๐ ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และสายด่วน ๑๑๕๕ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงเทพ ได้ช่วยเหลือผู้เสียหายจากการถูกหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สามารถอายัดเงินของผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงและโอนไปยังบัญชีของกลุ่มคนร้ายแล้วระงับไม่ให้สามารถถอนเงินออกไป และได้นำเงินคืนให้กับผู้เสียหาย จำนวน 4 ราย รวมเป็นเงินจำนวน 280,950.18 บาท ได้แก่
๑. ผู้เสียหายในคดีของ สน.ประชาชื่น ถูกหลอกลวงให้โอนเงินไปยังบัญชีของคนร้ายรวมเป็นเงิน จำนวน 315,000 บาท ในคดีนี้ เจ้าหน้าที่สามารถอายัดเงินของผู้เสียหายไว้ได้ จำนวน 3,273.18 บาท
๒. ผู้เสียหายในคดีของ สภ.รัตนาธิเบศร์ จังหวัดนนทบุรี ถูกหลอกลวงให้โอนเงินไปยังบัญชีของคนร้ายรวมเป็นเงิน จำนวน 2,772,496 บาท ในคดีนี้ เจ้าหน้าที่สามารถอายัดเงินของผู้เสียหายไว้ได้ จำนวน 63,094 บาท
๓. ผู้เสียหายในคดีของ สภ.สังขะ จังหวัดสุรินทร์ ถูกหลอกให้โอนเงินไปยังบัญชีของคนร้ายรวมเป็นเงิน จำนวน 114,600 บาท ในคดีนี้ เจ้าหน้าที่สามารถอายัดเงินของผู้เสียหายไว้ได้เต็มจำนวน
4. ผู้เสียหายในคดีของ สภ.นครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถูกหลอกให้โอนเงินไปยังบัญชีของคนร้ายรวมเป็นเงิน จำนวน 204,381 บาท ในคดีนี้ เจ้าหน้าที่สามารถอายัดเงินของผู้เสียหายไว้ได้ จำนวน 99,983 บาท
จากข้อมูลผู้เสียหายทั้ง 4 ราย เจ้าหน้าที่สามารถอายัดเงินของผู้เสียหายได้เต็มจำนวนทั้งหมด 1 ราย
จากการสอบถามผู้เสียหายที่สามารถทำการอายัดเงินได้ทัน ส่วนใหญ่จะใช้เวลาในการตั้งสติ คิดทบทวน และทราบว่าถูกคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวง เฉลี่ยแล้วใช้เวลาดังนี้
อายัดเต็มจำนวนใช้เวลาประมาณ ๑๕ – ๓๐นาที
อายัดได้บางส่วนมากกว่าครึ่งของจำนวนที่ถูกหลอกใช้เวลาประมาณ ๓๐ นาที – ๑ ชั่วโมง
อายัดได้บางส่วนน้อยกว่าครึ่งของจำนวนที่ถูกหลอกใช้เวลาตั้งแต่ ๑ ชั่วโมง ขึ้นไป
โดยใช้ช่องทางติดต่อการอายัดเงิน ผ่านช่องทางสายด่วน 1155, 1710 และ ทางธนาคาร
สรุปจากการผลการปฏิบัติงานในการอายัดเงินของผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงจากแก็งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงไปยังบัญชีคนร้าย สามารถอายัดเงินคืนให้แก่ผู้เสียหายได้ จำนวน 93 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 17,480,205.86 บาท
จากสถิติการรับแจ้งเหตุของศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (ศป.ฉปทน.ตร.) รับแจ้งเหตุตั้งแต่วันที่ ๘ ธ.ค.๖๐ ถึงวันที่ 26 เม.ย.๖๑ จำนวน 421 คดี มูลค่าความเสียหาย 209,486,195.65 บาท
กรณียังมีผู้เสียหายที่ถูกเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง แต่ยังไม่ได้ไปร้องทุกข์ จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนท่านใดที่ได้รับความเสียหายจากเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงจนสูญเสียทรัพย์สิน ให้รีบแจ้งมาท ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ตั้งอยู่ที่ ชั้น ๑ อาคาร ๑ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถนนพระรามที่ ๑ แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
สายด่วน ๑๑๕๕ หมายเลขโทรศัพท์ ๐ ๒๒๕๑ ๙๗๙๓ หมายเลขโทรสาร ๐ ๒๒๕๒ ๗๘๘๑
ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สายด่วน ๑๗๑๐
ตั้งอยู่ที่ ชั้น ๑ เลขที่ ๔๒๒ ถนน พญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
“ในกรณีที่รู้ตัวว่าถูกหลอกลวง ขอให้แจ้งสายด่วน ๑๑๕๕ และ ๑๗๑๐ โดยเร็วที่สุด”
การจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ตามนโยบายรัฐบาลและการปฏิบัติการโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำการปราบปรามเครือข่ายแก็งคอลเซ็นเตอร์และองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่หลอกลวงและสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้จัดตั้งศูนย์ป้องกันและปรามปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศป.ฉปทน.ตร.) โดยมี พล.ต.อ.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ และมี พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการประจำศูนย์ฯ โดยได้ทำการสืบสวนและปราบปรามจนนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิด และได้เร่งรัดผลการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีคอลเซ็นเตอร์อย่างต่อเนื่อง
ผลการจับกุมในรอบสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 21 – 27 เมษายน 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุด ศป.ฉปทน.ตร. สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้จำนวนทั้งสิ้น 5 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้รับจ้างเปิดบัญชี และสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหารายสำคัญที่ทำหน้าที่เป็นโพยก๊วนฟอกเงิน คือ
นายฉาง ติง กั้ว หรือ MR.CHANG TING-KUO หรือ Jackie Chang หรือ อากั้ว สัญชาติไต้หวัน หนังสือเดินทางประเทศจีน เลขที่ 306682052 (ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดพิษณุโลกที่ 268/2560 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2560)
ในความผิดฐาน “มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ”
ประวัติการเดินทางเข้า-ออก ประเทศไทย ของนายฉาง ติง กั้ว ผู้ต้องหา
นายฉาง ติง กั้ว ผู้ต้องหา มีประวัติการเดินทางเข้า-ออก ประเทศไทย รวมจำนวน 42 ครั้ง (ตั้งแต่ปี 2556-2561) โดยเข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยว และครั้งล่าสุดเดินทางเข้ามาในประเทศไทยทางจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว เมื่อวันที่ 8 มี.ค.2561
ทั้งนี้ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ปฏิบัติการระดมกวาดล้างจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับคดีคอลเซ็นเตอร์ ที่หลบหนีการจับกุมตามหมายจับที่พนักงานสอบสวนทั่วประเทศ ได้ดำเนินการออกหมายจับไว้ถึงปัจจุบัน (26 เม.ย.61)
มีจำนวนทั้งสิ้น547หมาย
จับกุมไปแล้ว361หมาย ถูกจับในต่างประเทศรอการส่งกลับ 46 หมาย
คงเหลือ186หมาย และเป็นหมายไม่มีคุณภาพ 55 หมาย
คงเหลือจำนวนทั้งสิ้น 85หมาย
CR. @ โอ๋ สมาคมคนข่าว ผู้สื่อข่าว นิวส์รีพอร์ต @ รายงาน