วันที่ 10 กรกฎาคม 2561 เวลา 13.30 น. ตามนโยบายรัฐบาลในการปราบปรามอาชญากรรมและผู้มีอิทธิพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. , พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา รองผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. ตำรวจภูธรภาค 1
ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบช.ภ.1 , พล.ต.ต.สมชาย พัชรอินโต รอง ผบช.ภ.1 , พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.อำนาจ จันทร์เจริญ รอง ผบช.ภ.1
กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 1 นำโดย พล.ต.ต. สุภธีร์ บุญครอง ผบก.สส.ภ.1 , พ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ รอง ผบก.สส.ภ.1, พ.ต.อ.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบก.สส.ภ.1 , พ.ต.อ.ชยานนท์ มีสติ รอง ผบก.สส.ภ.1 ,พ.ต.อ.นราเดช ทิพย์รักษ์ รอง ผบก.สส.ภ.1 ,พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ ประยูรตี ผกก.สส.1ฯ , พ.ต.อ.ไกลเขต บุรีรักษ์ ผกก.สส.2ฯ, พ.ต.อ.ปรีดา คงจัด ผกก.สส.3ฯ , พ.ต.อ. ชูศักดิ์ เคทอง ผกก.ปพ.ฯ
ตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นำโดย พล.ต.ต. สมหมาย ประสิทธิ์ ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา , พ.ต.อ. ณพล กลัดเข็มเพชร รอง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา , พ.ต.อ. ภัทรภัทร นุชยวง ผกก.สส.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา , พ.ต.อ.เอกราช อุ่นเจริญ ผกก.สภ.วังน้อย
ตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรี นำโดย พล.ต.ต. ชัยน์วัฒน์ อรัญวัฒน์ ผบก.ภ.จว.ลพบุรี , พ.ต.อ.อุกฤษ ภู่กลั่น รอง ผบก.ภ.จว.ลพบุรี , พ.ต.อ.พุฒิพัฒน์ วรรธน์จิรัฐ ผกก.สส.ภ.จว.ลพบุรี, พ.ต.อ.ดิเรก แจ่มสุธี ผกก.สภ.พัฒนานิคม
ตำรวจภูธรจังหวัดสระบุรี นำโดย พล.ต.ต.ชัยรัตน์ ทิพยจันทร์ ผบก.ภ.จว.สระบุรี, พ.ต.อ.กิตติ สุขสมภักดิ์ รอง ผบก.ภ.จว.สระบุรี, พ.ต.อ.จิรัฎฐ์ ดอกไม้ ผกก.สส.ภ.จว.สระบุรี, พ.ต.อ.ฉัฐวัชร วงศ์วาสน์ ผกก.สภ.หนองแค
ได้ร่วมกันจับกุมเครือข่ายลักทรัพย์ตู้เอทีเอ็ม ดังนี้
1. นายบุญญฤทธิ์หรือเจ แก้วมณี อายุ 27 ปี ที่อยู่ 49 หมู่ที่ 4 ตำบลท่านั่ง อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร
2. นายพณภัทรหรือบอส สุโชคนันท์ อายุ 26 ปี ที่อยู่ 598/15 หมู่ที่ 8 ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น
3. นายสมประสงค์หรือแบล็ค พงก่อสร้าง อายุ 21 ปี ที่อยู่ 59/2 ซอยชานเมือง แขวงดินแดง เขตดินแดง จังหวัดกรุงเทพมหานคร
4. นายธวัชชัยหรือปาร์ม พลายแก้ว อายุ 22 ปี ที่อยู่ 18 หมู่ที่ 7 ตำบลแม่เลย์ อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์
ข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์และพยายามลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้น โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม” พร้อมด้วยของกลาง ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดและทรัพย์สินซึ่งกลุ่มผู้ต้องหานำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดไปซื้อมาอีกหลายรายการ อาทิเช่น
1. เงินสด 300,000 บาท
2. ทองรูปพรรณต่างๆ ได้แก่ สร้อยคอทองทำ 4 เส้น สร้อยข้อมือ 2 เส้น พร้อมแหวนทองคำ พระเครื่องและเครื่องรางของขลัง รวมน้ำหนักทองคำ 13 บาท มูลค่าประมาณ 350,000 บาท
3. รถยนต์มิสซูบิชิ แลนเซอร์ 1 คัน
4. รถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า แจ๊ส 1 คัน
5. โทรศัพท์ยี่ห้อ I-phone x 5 เครื่อง
6. รถยนต์ยี่ห้อนิสสัน มาร์ช 1 คัน ซึ่งเป็นรถยนต์ที่คนร้ายเช่ามาก่อเหตุ
7. ถังแก๊สพร้อมหัวตัด ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่คนร้ายใช้เจาะตู้เอทีเอ็ม
พฤติการณ์กล่าวคือ ผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ได้ร่วมกันก่อเหตุลักทรัพย์ และพยายามลักทรัพย์ ต่อเนื่องหลายพื้นที่ ดังนี้
1. เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2561 เวลาประมาณ 01.40 น. พยายามก่อเหตุลักทรัพย์เงินสดภายในตู้เอทีเอ็มธนาคารกสิกรไทยซึ่งตั้งอยู่ภายในร้านขายยาปอป้อ เลขที่ 65/3 ม.4 ต.ลำตาเสา อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยคนร้ายได้นำเทปกาวทึบปิดกล้องวงจรปิดของตู้เอทีเอ็ม แล้วได้ตัดแม่กุญแจที่ใช้ล็อคประตูเหล็กม้วนใน ชั้นแรก งัดประตูบานเลื่อนในชั้นที่สอง และใช้ความร้อนพยายามตัดประตูนิรภัยของตู้เอทีเอ็มเพื่อหวังจะเอาเงินสดภายในตู้เอทีเอ็ม แต่ครั้งนี้คนร้ายลงมือไม่สำเร็จ
2. เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2561 เวลาประมาณ 03.56 น. พยายามก่อเหตุลักทรัพย์เงินสดภายในตู้เอทีเอ็ม ของธนาคารกสิกรไทย สาขาหนองแค ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหน้าร้านเอกภาพ หมู่ 8 ต.ห้วยขมิ้น อ.หนองแค จ.สระบุรี โดยนำเทปกาวทึบมาปิดกล้องวงจรปิดของตู้เอทีเอ็ม แล้วใช้ความร้อนพยายามตัดประตูนิรภัยของตู้เอทีเอ็มเพื่อหวังจะเอาเงินสดภายในตู้เอทีเอ็ม ครั้งนี้พบร่องรอยไหม้ทั้งด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลังตู้เอทีเอ็มดังกล่าว แต่ไม่สามารถนำเงินสดออกมาได้
3. เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2561 เวลาประมาณ 00.20 – 01.11 น. ก่อเหตุลักทรัพย์เงินสดภายในตู้เอทีเอ็มธนาคารทหารไทย ซึ่งติดตั้งอยู่ บริเวณด้านหน้าร้านมินิมาร์ท ภายในปั๊มน้ำมันบางจาก เลขที่ 29 หมู่ 10 ต.พัฒนานิคม อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี โดยใช้ความร้อนเป่าตัดบริเวณด้านหลังตู้เอทีเอ็ม การลงมือครั้งนี้คนร้ายได้เงินสดภายในตู้เอทีเอ็มไปจำนวน 174,500 บาท
4. เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 เวลา 03.40 น. พยายามก่อเหตุลักทรัพย์เงินสดภายในตู้เอทีเอ็ม ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหน้าอาคารพาณิชย์ เลขที่ 55/17 หมู่ 1 ต.โคกแย้ อ.หนองแค จ.สระบุรี ครั้งนี้คนร้ายปรับเปลี่ยนวิธีการโดยใช้เชือกคล้องตู้เอทีเอ็มแล้วผูกติดกับรถยนต์กะบะ ยี่ห้อ มิตซูบิชิ รุ่น ไทตั้น ซึ่งกล้องวงจรปิดจับภาพหมายเลขทะเบียน บษ 2266 นครปฐม ไว้ได้ จากนั้นจึงขับรถดึงกระชากตู้เอทีเอ็มจนล้มแต่ครั้งนี้คนร้ายลงมือไม่สำเร็จ เนื่องจากมีคนผ่านมาพบเห็นเหตุการณ์เสียก่อน
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2561 สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับแจ้งว่า มีเหตุเพลิงไหม้รถยนต์กระบะ ยี่ห้อมิสซุบิชิ รุ่นไทตั้น สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน บษ 2266 นครปฐม ที่บริเวณถนนคันคลองชลประทาน หมู่ที่ 6 ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นรถคันเดียวกับที่คนร้ายใช้ก่อเหตุเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 ในพื้นที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี ในครั้งนี้หลังจากคนร้ายก่อเหตุลักเงินสดตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพและธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าร้านอาหารลุงนวย ม.2 ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยใช้วิธีใช้ความร้อนเป่าตัดบริเวณด้านหลังของตู้เอทีเอ็มทั้งสองตู้ ปรากฏว่าไม่สามารถงัดเอาเงินสดในตู้เอทีเอ็มของธนาคารไทยพาณิชย์ออกไปได้ แต่สามารถงัดเอากล่องใส่เงินตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพ จำนวน ๓ กล่อง แล้วขับรถหลบหนีออกจากจุดเกิดเหตุห่างประมาณ 5 กม. แล้วงัดเอาเงินสดจากกล้องใส่เงินได้เงินสดไป 2,000,000 บาท แต่จุดนี้รถยนต์ของคนร้ายติดหล่มและเกิดไฟลุกไหม้รถขณะพยายามนำรถขึ้นจากหล่ม คนร้ายจึงได้ทิ้งรถแล้วหลบหนีไป
ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้บูรณาการร่วมกันในหลายพื้นที่ จนสามารถสืบทราบว่าคนร้ายที่ก่อเหตุทั้ง 5 ครั้งนี้เป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกัน ซึ่งมีประวัติเป็นแก๊งลักรถจักรยานยนต์มาก่อน จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้อง ต่อมาวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้อนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมดรวม ๔ คนดังกล่าวข้างต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงร่วมกันสืบสวนติดตามจับผู้ต้องหาทั้ง ๔ คน โดยสามารถจับกุมตัวนายบุญญฤทธิ์หรือเจ แก้วมณีได้ในพื้นที่เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร นายธวัชชัยหรือปาร์ม พลายแก้ว จับกุมตัวได้ในเขตพื้นที่อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม นายพณภัทรหรือบอส สุโชคนันท์ จับกุมตัวได้ในเขตพื้นที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำหรับนายสมประสงค์หรือแบล็ค พงก่อสร้าง ผู้ต้องหาคนสุดท้ายสามารถติดตามจับกุมตัวได้ในเขตพื้นที่อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี พร้อมตรวจยึดของกลางดังกล่าวข้างต้นส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้พบว่าคนร้ายมีพฤติกรรมเลียนแบบและจัดหาอุปกรณ์มาจากอินเตอร์เน็ต ภายหลังก่อเหตุได้นำเงินไปใช้จ่ายส่วนตัวและหนี้สินพนันฟุตบอล ซึ่งตำรวจภูธรภาค 1 จะได้ดำเนินการตามแผนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่ก่อเหตุในลักษณะนี้ตลอดจนอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องในพื้นที่รับผิดชอบอย่างจริงจังต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้มากที่สุด
CR. @ โอ๋ สมาคมคนข่าว ผู้สื่อข่าว นิวส์รีพอร์ต @ รายงาน