วันพฤหัสบดี, 3 ตุลาคม 2567

โคราช!!เปิดยุทธการปราบสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์”

09 ต.ค. 2018
18

โคราชเปิดยุทธการปราบสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ !!บิ๊กโจ๊ก เตือนถึงผู้ที่ยังดำเนินการผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย สินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา จะดำเนินการจับกุมดำเนินคดี ถึงบ้าน

วันที่ 8 ตุลาคม 2561 ณ. ตลาดเซฟวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ยุทธการปราบสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ได้มีการจับกุมสินค้าแบรนด์ชื่อดัง โดยนำการจับกุมครั้งนี้โดยพล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท.รรท.ผบช.สตม. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจเทคโนโลยีสารสนเทศการร่วมกสทช.และตัวแทนสินค้าแบรนด์เนม พร้อม พล.ต.ต.ฐากูร นัทฐีศรี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 พล.ต.ต.วัชรินทร์ บุญคง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา นำกำลังตำรวจท่องเที่ยว, สตม., ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) กองกำกับการตำรวจสืบสวนสอบสวนภูธรจังหวัด (กก.สส.ภ.จ.) นครราชสีมา และสภ.โพธิ์กลาง อ.เมือง นครราชสีมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ในการจับกุมครั้งนี้ได้ผุ้ต้องหาซึ่งเป็นพ่อค้าแม่ค้าร่วม11คน ส่วนประเมินมูลค่าความเสียหายรวมกว่า เป็นมูลค่า25ล้านบาทึ่งเป็นแหล่งขายสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าขนาดใหญ่ กว่า 50 จุด สามารถจับกุมผู้ต้องหา พร้อมของกลางเป็นจำนวนมาก ซึ่งการจับกุมในครั้งนี้เป็นความร่วมมือ ไทย – สหรัฐอเมริกา ในการแก้ไขปัญหาและทลายแหล่งสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ และทรัพย์สินทางปัญญา สามารถตรวจยึดสินค้ากว่า หมื่นสามพันกว่าชิ้น เช่น หลุยส์ วิตตอง, พราด้า, กุชชี่ ฯลฯ, เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เสื้อ กางเกง รองเท้า เข็มขัด แว่นตา หลากหลายยี่ห้อ นาฬิกาแบรนด์เนม Casio, G-Shock ฯลฯ, กระเป๋าแบรนด์เนมเช่น Rayban, Oakley, Nike, Adidas, Puma, Leis, Fila ฯลฯ และสินค้าอื่นๆ

(พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท.รรท.ผบช.สตม. กล่าว)ฝากเตือนถึงผู้ที่ยังดำเนินการผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย สินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด การประกาศขายทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม หากยังดำเนินอยู่เจ้าหน้าที่จะดำเนินการจับกุมดำเนินคดี ถึงบ้านจากผลการดำเนินการสืบสวนทางโลกโซเชียลมีเดีย ตั้งแต่ปี 60จนถึงปัจจุบันได้ดำเนินการตรวจสอบปิดกั้นเว็บไซต์และบล็อก ที่มีการขายออนไลน์สินค้าละเมิดลิขสิทธ์ไปกว่า 600 เว็บไซต์ มีการดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิดไปแล้วกว่า 60 ราย

ปัจจุบันกฎหมายได้ยกระดับ โดยการขยายผลถึงนายทุน ตลอดจนใช้มาตรการยึดทรัพย์ จากความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและ ปราบปรามฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (13) และมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ทีมข่าว นครราสีมา

Loading